ปัจจุบันผู้ประกอบการเล็งเห็นถึงความสำคัญของการใช้พลังงานสะอาด และเริ่มให้ความสนใจเลือกติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา หรือ “โซลาร์ รูฟท็อป” (Solar rooftop) กันมากขึ้น เพราะนอกจากจะช่วยลดค่าไฟฟ้าที่เกิดจากการดำเนินงานแล้วยังช่วยสนับสนุนให้ธุรกิจเติบโตอย่างอย่างยั่งยืน (Sustainability) และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่ง “กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีพลังงานของบ้านปูฯ” ในฐานะผู้ให้บริการด้านการวางระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์และสมาร์ทซิตี้โซลูชันแบบ ครบวงจร ขอมาแนะนำ 4 ข้อสำคัญที่ผู้ประกอบการควรรู้ก่อนตัดสินใจติดตั้ง “โซลาร์ รูฟท็อป” เพื่อให้การลงทุนระยะยาวสร้างความยั่งยืน และตอบโจทย์ความต้องการทางธุรกิจได้อย่างตรงจุด
คุณกนกวรรณ จิตต์ชอบธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท บ้านปู อินฟิเนอร์จี จำกัด หนึ่งในบริษัทลูกของบริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ผู้นำธุรกิจพลังงานแบบครบวงจรแห่งเอเชีย-แปซิฟิก กล่าวว่า “ในปัจจุบันผู้ประกอบการทั้งภาคธุรกิจ และอุตสาหกรรมล้วนปรับกลยุทธ์ และแนวทางการดำเนินงานให้สอดคล้องกับเทรนด์การดำเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืน (Sustainability) ที่ไม่ใช่เพียงแค่การพัฒนาองค์กร แต่ต้องมีส่วนช่วยในการพัฒนาสังคม และสิ่งแวดล้อมควบคู่กันไปด้วย ส่งผลให้หลายองค์กรเลือกใช้ ‘พลังงานสะอาด’ เพื่อนำพาธุรกิจ สู่ความยั่งยืนได้อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ “โซลาร์ รูฟท็อป หรือ ระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา” จึงได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องเพราะนอกจากจะเป็นการช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถบริหารจัดการทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยลดต้นทุนในการดำเนินธุรกิจได้อีกด้วย”
และเพื่อเป็นการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการรายใหม่ๆ รับรู้และเข้าใจถึงขั้นตอนการติดตั้ง ‘โซลาร์ รูฟท็อป’ อย่าง ถูกวิธี ‘กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีพลังงานของบ้านปูฯ’ ในฐานะผู้ให้บริการด้านการวางระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ และสมาร์ทซิตี้โซลูชันแบบครบวงจรที่ขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้กลยุทธ์ “Greener & Smarter” ของบ้านปูฯ มุ่งมั่นนำเสนอนวัตกรรมพลังงานสะอาดในราคาที่เหมาะสม มีความเสถียรและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในรูปแบบที่ทันสมัย พร้อมการให้บริการที่ดีเยี่ยมเพื่อตอบสนองความต้องการด้านพลังงานของผู้บริโภค ชุมชน และสังคมอย่างยั่งยืน และช่วยผลักดันให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะ (Smart City) อย่างเต็มรูปแบบ สอดคล้องกับนโยบายภาครัฐที่ต้องการสนับสนุนให้ประเทศไทยก้าวสู่ Thailand 4.0 จึงมาแนะนำ 4 ข้อควรรู้ที่ผู้ประกอบการควรศึกษา และทำความเข้าใจก่อนตัดสินใจติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา
4 ข้อควรรู้ก่อนติดตั้ง “โซลาร์ รูฟท็อป”
- ทำความรู้จัก “โซลาร์ รูฟท็อป”
“โซลาร์ รูฟท็อป” คือ ระบบเปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์เป็นพลังงานไฟฟ้าด้วยวิธีการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ บนหลังคาของอาคาร โดยระบบจะเริ่มทำงานเมื่อแผงโซลาร์เซลล์ได้รับแสงอาทิตย์ และจะเปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์เป็นไฟฟ้ากระแสตรง จากนั้นเครื่องแปลงกระแสไฟฟ้า (Inverter) แปลงไฟฟ้าที่ได้จากโซลาร์เซลล์เป็นไฟฟ้ากระแสสลับเพื่อให้สามารถใช้งานกับเครื่องจักร หรืออุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ที่ติดตั้งอยู่ในโรงงานหรืออาคารได้
- เตรียมข้อมูลก่อนติดตั้งให้พร้อม เพิ่มความแม่นยำในการผลิตไฟฟ้า
ผู้ประกอบการจำเป็นต้องสำรวจความพร้อม และเตรียมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจเพื่อใช้ประกอบการประเมิน และคำนวณแผนการลงทุนในการติดตั้งโซลาร์ รูฟท็อป อาทิ ภาพรวมปริมาณการใช้ไฟฟ้าโดยสามารถรวบรวมได้จากใบแจ้งหนี้ค่าไฟฟ้าย้อนหลัง 12 เดือน แบบแปลนไฟฟ้าแบบไดอะแกรม (Electrical Single line Diagram) โหลดอิเล็กทรอนิกส์ (Electric Load Profile) ความพร้อมของพื้นที่สำหรับติดตั้งแผงโซลาร์ เช่น ขนาด หรือความแข็งแรงโครงสร้างหลังคา เพื่อให้การคำนวณกำลังการผลิตไฟฟ้า มีความแม่นยำยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ผู้ประกอบการต้องเตรียมเอกสารต่างๆ ประกอบการยื่นขออนุญาตติดตั้งระบบฯ เช่น ใบอนุญาตก่อสร้างอาคาร แบบโครงสร้างของหลังคา รายการคำนวณโครงสร้างหลังคา เป็นต้น
- ติดตั้ง “โซลาร์ รูฟท็อป” อย่างเป็นระบบ ช่วยลดปัญหากวนใจ
“โซลาร์ รูฟท็อป” ไม่ใช่เพียงแค่การนำแผงโซลาร์เซลล์ไปติดตั้งบนหลังคาแล้วจะสามารถผลิตไฟฟ้าใช้ได้ในทันที หากแต่ต้องมีการติดตั้งอย่างเป็นระบบ โดยมีวิศวกรที่มีความเชี่ยวชาญ เข้าไปสำรวจ ประเมิน ตลอดจนออกแบบ และวางแผนระบบฯ ให้เหมาะกับพื้นที่นั้นๆ เช่น การคำนวนจำนวนของแผงโซลาร์ ให้สัมพันธ์กับโครงสร้างของหลังคา เพื่อการผลิตไฟฟ้าให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ดังนั้นผู้ประกอบการควร มองหาผู้ให้บริการที่มีความเชี่ยวชาญสามารถออกแบบโซลาร์รูฟท็อปได้ตามความต้องการ วางระบบกำลังการผลิตไฟฟ้าให้เหมาะสมกับการใช้งานจริง โดยคำนึงถึงการเลือกใช้อุปกรณ์ที่มีคุณภาพ และการใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น การเลือกใช้แผงโซลาร์เซลล์ชนิดโมโนคริสตัลไลน์ (Monocrystalline) ที่ผลิตจากซิลิคอนบริสุทธิ์ มีประสิทธิภาพในการผลิตกระแสไฟฟ้าสูงกว่าแผงชนิดอื่นในปัจจุบัน รวมถึงการติดตั้งอุปกรณ์ให้เหมาะสม เพื่อการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและตรงกับความต้องการการใช้ไฟฟ้าที่คุ้มค่ามากที่สุด
- “บริการหลังการขาย” คือหัวใจสำคัญ
ถึงแม้ว่าอายุการใช้งานของแผงโซลาร์เซลล์จะยาวนานถึง 25 ปี แต่การดูแลรักษาคุณภาพของตัวแผงตลอดอายุการใช้งาน รวมถึงการติดตามประสิทธิภาพการทำงานของทั้งระบบฯ ยังถือเป็นหนึ่งในสิ่งที่ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญมากที่สุดในการเลือกใช้ผู้ให้บริการด้านการติดตั้งโซลาร์ รูฟท็อป เพื่อความสามารถในการผลิตพลังงานโซลาร์ได้อย่างคุ้มค่าในระยะยาว
“เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจในระยะยาว ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญเรื่องการติดตั้งโซลาร์ รูฟท็อปตั้งแต่การเลือกใช้ผู้ให้บริการที่ดูแลการติดตั้งได้ทั้งระบบ รวมถึง “การให้บริการทั้งก่อน และหลังการติดตั้ง” โดยกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีพลังงานของบ้านปูฯ มีการนำเทคโนโลยีล้ำสมัยมาเสริมประสิทธิภาพในการให้บริการหลังการขายแก่ลูกค้า อาทิ ห้องควบคุม (Control Room) ที่มีวิศวกรตรวจสอบการทำงานของระบบฯ และมีเจ้าหน้าที่คอลเซ็นเตอร์ที่พร้อมรับแจ้งปัญหาด้านเทคนิคต่างๆ ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อช่วยให้ระบบโซลาร์ รูฟท็อปของลูกค้าทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังได้พัฒนาโมบายแอพพลิเคชัน “Infinergy Application” ซึ่งเป็น Smart Service ที่พัฒนาขึ้นเพื่อให้บริการแก่ลูกค้าที่ติดตั้งโซลาร์ รูฟท็อป สามารถตรวจสอบข้อมูลการผลิตไฟฟ้า ยอดรวมของการประหยัดพลังงาน ตลอดจนการแจ้งเตือนเมื่อเกิดเหตุขัดข้องแบบเรียลไทม์อีกด้วย” คุณกนกวรรณ กล่าวทิ้งท้าย
สำหรับผู้ประกอบการ หรือเจ้าของธุรกิจที่สนใจติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ และสมาร์ทซิตี้โซลูชันสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.banpuinfinergy.co.th หรือ ติดต่อลูกค้าสัมพันธ์ โทร.02-095-6599 หรือ contact@banpuinfinergy.co.th